นธบัตรให้ผลตอบแทนสูงขึ้น: ถึงเวลาที่นักลงทุนหุ้นต้องกังวลหรือยัง?

2025-09-08 | FOMC , ดอกเบี้ย , ตลาดหุ้น , ทองคำ , เงินเฟ้อ , เจาะลึกตลาดรายสัปดาห์

นธบัตรให้ผลตอบแทนสูงขึ้น: ถึงเวลาที่นักลงทุนหุ้นต้องกังวลหรือยัง?

ตลาดพันธบัตรโลกกำลังส่งสัญญาณเตือน ทั่วทั้งสหรัฐฯ สหราชอาณาจักร ยุโรป และเอเชีย อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวยังคงเพิ่มขึ้น แม้ธนาคารกลางจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายระยะสั้น 

ความแตกต่างที่ผิดปกตินี้ทำให้นักลงทุนตั้งคำถามสำคัญว่า: ตลาดหุ้นจะสามารถเพิกเฉยได้นานแค่ไหน? 

ทำไมผลตอบแทนถึงเพิ่มขึ้น แม้อัตราดอกเบี้ยถูกปรับลด 

ในมุมแรกอาจดูย้อนแย้ง ธนาคารกลางใช้นโยบายผ่อนคลาย แต่ผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวยังคงไต่สูงขึ้น 

พันธบัตรรัฐบาลสหราชอาณาจักรอายุ 30 ปีเพิ่งพุ่งขึ้นแตะ 5.69% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดตั้งแต่ปี 1998 

ในสหรัฐฯ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปียังคงอยู่ใกล้ระดับสูงสุดในรอบหลายปี แม้จะมีการคาดการณ์การลดดอกเบี้ยของเฟดในเดือนกันยายน 

นี่ไม่ใช่แค่ปัญหาเฉพาะพื้นที่ แต่เป็น ปัญหาในระดับโลก 

นักลงทุนกำลังเรียกร้องผลตอบแทนที่สูงขึ้น โดยสะท้อนความเสี่ยงด้านการคลัง ภาวะเงินเฟ้อที่ยึดติด และการขาดดุลงบประมาณที่สูงขึ้นในอนาคต กล่าวอีกนัยหนึ่ง ตลาดพันธบัตรกำลังให้ความสำคัญน้อยลงกับสิ่งที่ธนาคารกลางทำในวันนี้ และมากขึ้นกับสิ่งที่รัฐบาลจำเป็นต้องหาเงินมารองรับในวันข้างหน้า 

อัตราผลตอบแทนทั่วโลกกำลังพุ่งขึ้น 

นธบัตรให้ผลตอบแทนสูงขึ้น: ถึงเวลาที่นักลงทุนหุ้นต้องกังวลหรือยัง?
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 30 ปี สหรัฐฯ เยอรมนี ญี่ปุ่น สหราชอาณาจักร อิตาลี และสเปน

กราฟด้านบนแสดงให้เห็นถึงการเคลื่อนไหวที่แพร่หลายจริงๆ อัตราผลตอบแทนในสหรัฐฯ สหราชอาณาจักร เยอรมนี ญี่ปุ่น อิตาลี สเปน และฝรั่งเศส ต่างพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วตั้งแต่ปี 2022 

สิ่งนี้เกิดขึ้นแม้ธนาคารกลางจะปรับนโยบายไปสู่การลดอัตราดอกเบี้ย 

สำหรับนักลงทุน ความแตกต่างนี้ส่งสัญญาณชัดเจนว่า: ตลาดพันธบัตรกำลังเรียกร้องผลตอบแทนที่สูงขึ้น เนื่องจากความเสี่ยงด้านการคลัง ภาระหนี้ และความไม่แน่นอนของนักลงทุน มีน้ำหนักมากกว่านโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย 

เมื่อคลื่นโลกเคลื่อนไปในทิศทางเดียวกันเช่นนี้ ตลาดหุ้นก็ไม่อาจเพิกเฉยได้นาน 

แรงกดดันทางการคลังกำลังขับเคลื่อนแนวโน้ม 

นโยบายการเงินไม่ใช่ปัจจัยหลักที่อยู่เบื้องหลัง ปัจจัยหลักคือ นโยบายการคลัง 

ยกตัวอย่างสหราชอาณาจักร รายจ่ายภาครัฐคาดว่าจะทะลุ 60% ของ GDP ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ขณะที่รายได้ยังต่ำกว่า 40% ตามการคาดการณ์อย่างเป็นทางการ ความไม่สมดุลนี้ทำให้ต้องกู้ยืมเพิ่มขึ้น ซึ่งกดดันให้อัตราผลตอบแทนปรับสูงขึ้น โดยไม่ขึ้นอยู่กับสิ่งที่ธนาคารกลางต้องการ 

เรื่องราวเดียวกันนี้กำลังเกิดขึ้นทั่วทั้งยุโรป สหรัฐฯ และญี่ปุ่น การขาดดุลงบประมาณที่สูง การออกพันธบัตรรัฐบาลอย่างเข้มข้น และความไม่ไว้วางใจของนักลงทุนอย่างต่อเนื่อง กำลังผลักดันให้อัตราผลตอบแทนระยะยาวพุ่งสูงขึ้น แม้อยู่ในรอบการลดดอกเบี้ยก็ตาม 

ทำไมหุ้นถึงแคร์ต่ออัตราผลตอบแทนพันธบัตร 

สำหรับตลาดหุ้น การเพิ่มขึ้นของอัตราผลตอบแทนไม่เคยเป็นเรื่องกลางๆ เมื่อผลตอบแทนสูงขึ้น อัตราคิดลด ที่ใช้ประเมินกำไรในอนาคตก็สูงขึ้นตาม ซึ่งกดดันต่อมูลค่าของหุ้นโดยตรง 

หุ้นกลุ่มเติบโต โดยเฉพาะ หุ้นเทคโนโลยี ได้รับผลกระทบมากที่สุด เนื่องจากการประเมินมูลค่าพึ่งพาการคาดการณ์กำไรในอนาคตอย่างหนัก ในขณะเดียวกัน หุ้นคุณค่าอย่างพลังงาน ธนาคาร และสินค้าโภคภัณฑ์มักจะต้านทานได้ดีกว่า แต่หากผลตอบแทนยังคงปรับขึ้นต่อไป ความกดดันก็จะแผ่ขยายไปทั่วทั้งตลาด 

ความเปลี่ยนแปลงนี้ได้เริ่มส่งผลต่อตำแหน่งการลงทุนแล้ว กองทุนเฮดจ์ฟันด์และนักลงทุนสถาบันยังคงระมัดระวังต่อหุ้นสหรัฐฯ ในช่วงก่อนเดือนกันยายน ซึ่งตามสถิติถือเป็นหนึ่งในช่วงเวลาที่ผันผวนที่สุดของตลาดหุ้น หลายฝ่ายจึงหันไปจัดสรรพอร์ตใหม่สู่สินค้าโภคภัณฑ์ เงินสด และตลาดนอกสหรัฐฯ 

สินทรัพย์ปลอดภัยกลับมาอยู่ในเกมอีกครั้ง 

การเบรกเอาต์ของราคาทองคำที่ทะลุ $3,500 ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เมื่อความเสี่ยงทางการคลังเพิ่มขึ้นและอัตราผลตอบแทนที่แท้จริงยังอยู่ในระดับสูง นักเทรดจึงมองหาทางเลือกใหม่แทนหุ้นและพันธบัตรรัฐบาล ขณะเดียวกัน ธนาคารกลางทั่วโลกก็ยังคงเพิ่มการถือครองทองคำสำรอง ซึ่งยิ่งเป็นแรงหนุนต่อโลหะมีค่า  

นธบัตรให้ผลตอบแทนสูงขึ้น: ถึงเวลาที่นักลงทุนหุ้นต้องกังวลหรือยัง?
ธนาคารกลางต่างประเทศถือครองทองคำมากกว่าพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ

ประเด็นนี้สะท้อนธีมที่กว้างขึ้น: เมื่อพันธบัตรไม่สามารถมอบเสถียรภาพได้ ทุนย่อมหันไปหาความปลอดภัยที่อื่น การหมุนเวียนนี้จึงมีความหมายต่อนักเทรดที่ติดตามทั้งหุ้นและสินค้าโภคภัณฑ์อย่างใกล้ชิด  

สิ่งที่นักเทรดควรจับตาต่อไป 

1. เส้นอัตราผลตอบแทน  
หากเส้นชันขึ้นต่อ จะเป็นสัญญาณว่าตลาดพันธบัตรคาดการณ์ความเสี่ยงระยะยาวที่สูงขึ้น 

    2. การประชุม FOMC เดือนกันยายน 
    หากเฟดส่งสัญญาณผ่อนคลาย อาจเร่งความผันผวนระยะสั้นในทุกสินทรัพย์ 

      3. ฤดูกาลประกาศผลประกอบการ 
      หากอัตราผลตอบแทนที่สูงขึ้นเริ่มกระทบกำไรของบริษัท หุ้นอาจต้องถูกประเมินมูลค่าใหม่ 

        4. กระแสเงินเข้าสินทรัพย์ปลอดภัย 
        จับตาทองคำและดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากมักเคลื่อนไหวเร็วกว่าหุ้นในช่วงที่นักลงทุนลดความเสี่ยง 

          ประเด็นสำคัญอัตราผลตอบแทนพันธบัตรทั่วโลกกำลังพุ่งขึ้น แม้ธนาคารกลางจะปรับลดดอกเบี้ย ความแตกต่างนี้ไม่ใช่สัญญาณรบกวน แต่คือสัญญาณเตือน 

          แรงกดดันทางการคลัง การกู้ยืมจำนวนมาก และความกังวลเรื่องเงินเฟ้อ กำลังกดดันให้ตลาดต้องประเมินความเสี่ยงใหม่ 

          สำหรับตลาดหุ้น นี่ไม่ใช่สัญญาณการล่มสลายทันที แต่การเพิกเฉยต่อตลาดพันธบัตร มักสร้างต้นทุนที่แพงในประวัติศาสตร์ 

          เมื่ออัตราผลตอบแทนทั่วโลกปรับขึ้นพร้อมกัน มักเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของมุมมองนักลงทุน หากอัตราผลตอบแทนยังพุ่งต่อไป คำถามไม่ใช่ว่าหุ้นจะตอบสนองหรือไม่ แต่คือจะตอบสนองเร็วแค่ไหน


          การเปิดเผยความเสี่ยง 
          หลักทรัพย์ ฟิวเจอร์ส CFD และผลิตภัณฑ์ทางการเงินอื่นๆ มีความเสี่ยงสูงเนื่องจากความผันผวนของมูลค่าและราคาของเครื่องมือทางการเงินพื้นฐาน เนื่องจากความเคลื่อนไหวของตลาดที่ไม่พึงประสงค์และคาดเดาไม่ได้ อาจเกิดการขาดทุนมากกว่าการลงทุนเริ่มต้นของท่านในระยะเวลาอันสั้น    
          โปรดตรวจสอบให้แน่ใจว่าท่านเข้าใจความเสี่ยงของการซื้อขายกับเครื่องมือทางการเงินแต่ละประเภทอย่างถ่องแท้ก่อนทำธุรกรรมกับเรา หากท่านไม่เข้าใจความเสี่ยงดังที่ได้อธิบายไว้ในนี้ ควรขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญอิสระ 

          ข้อจำกัดความรับผิดชอบ   
          ข้อมูลที่ปรากฏในบล็อกนี้มีไว้เพื่ออ้างอิงทั่วไปเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาให้เป็นคำแนะนำการลงทุน ข้อเสนอแนะ คำเชิญ หรือการเสนอขายหรือซื้อเครื่องมือทางการเงินใดๆ ทั้งนี้ไม่ได้พิจารณาถึงวัตถุประสงค์การลงทุนหรือสถานการณ์ทางการเงินเฉพาะของผู้รับข้อมูลแต่ละราย ผลการดำเนินงานในอดีตไม่สามารถเป็นตัวบ่งชี้ที่เชื่อถือได้สำหรับผลการดำเนินงานในอนาคต D Prime และบริษัทในเครือไม่ให้การรับรองหรือรับประกันใดๆ เกี่ยวกับความถูกต้องหรือความสมบูรณ์ของข้อมูลนี้ และไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสียหรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากการใช้ข้อมูลนี้หรือลงทุนตามข้อมูลดังกล่าว  

          วิเคราะห์ตลาดเชิงลึกIconBrandElement

          article-thumbnail

          2025-12-26 | วิเคราะห์ตลาดเชิงลึก

          คาดการณ์ ปี 2026 ‘ทองคำและเงิน’ เป็นขาขึ้นหรือขาลง?  

          ตอนนี้ทองคำและเงินยังคงเดินหน้าทำลายสถิติใหม่ไม่หยุด เรียกว่าพุ่งทะลุ All-Time High กันแทบจะสัปดาห์เว้นสัปดาห์เลยทีเดียว จากตอนแรกที่ดูเหมือนเป็นการฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป กลายเป็นว่าตอนนี้เรากำลังอยู่ในช่วงการแรลลี่ที่แข็งแกร่งที่สุดครั้งหนึ่งในรอบหลายทศวรรษ จนดึงดูดสายตาทั้งนักลงทุนสายถือยาวและเดย์เทรดให้หันมามองกันหมด  คำถามที่ทุกคนอยากรู้คือ ในปี 2026 เทรนด์นี้จะยังไปต่อได้ไหม หรือราคาเริ่มวิ่งนำหน้าปัจจัยพื้นฐานไปไกลเกินแล้ว?   จนถึงตอนนี้ ปัจจัยต่างๆ ยังคงซัพพอร์ตราคาได้ดี ทั้งแรงกดดันเงินเฟ้อที่ลดลง ความคาดหวังเรื่องดอกเบี้ยที่เปลี่ยนไป ความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ และความกังวลในค่าเงินฟีแอต ทั้งหมดนี้คือเชื้อเพลิงที่ทำให้ดีมานด์พุ่งสูงขึ้น เมื่อมองไปถึงปี 2026 ตลาดจึงต้องมาเช็คกันว่าแรงส่งเหล่านี้จะยังทำงานอยู่หรือไม่  ทำไมทองคำและเงินถึงทำสถิติสูงสุดใหม่?  การที่โลหะมีค่าพุ่งแรงขนาดนี้ เกิดจากการประสานแรงของปัจจัยมหภาคหลายตัวพร้อมกัน:  พอปัจจัยเหล่านี้มารวมกัน ก็ทำให้ต้นทุนค่าเสียโอกาสในการถือทองคำและเงิน (ซึ่งไม่มีปันผลหรือดอกเบี้ย) ลดน้อยลง กลายเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัยและน่าดึงดูดกว่าการเก็บเงินในระบบการเงินปกติ  ในปี 2026 Fed จะลดดอกเบี้ยหนักกว่าเดิมไหม?  คำถามยอดฮิตที่หลายคนเสิร์ชกันคือ “การลดดอกเบี้ยส่งผลยังไงกับทองและเงิน?”  ตอนนี้ตลาดโฟกัสไปที่นโยบายการเงินเฟสถัดไป ถ้าเงินเฟ้อยังคุมได้และตัวเลขจ้างงานชะลอตัวต่อเนื่อง โอกาสที่จะเห็นการลดดอกเบี้ยเพิ่มก็มีสูง ซึ่งตามสถิติแล้ว ช่วงที่ดอกเบี้ยเป็นขาลงมักจะเป็น “สวรรค์” ของทองคำและเงิน โดยเฉพาะในช่วงแรกๆ ที่ตลาดปรับความคาดหวังได้เร็วกว่าตัวนโยบายจริงเสียอีก  ตัวเลข CPI และการจ้างงาน สำคัญแค่ไหน?  สองตัวนี้คือหัวใจหลักของแนวโน้มราคาเลย:  หากเทรนด์นี้ยังอยู่ เราอาจได้เห็นราคาทองและเงินพุ่งรับข่าวล่วงหน้าไปก่อนที่นโยบายจะประกาศใช้จริงเสียอีก  สัญญาณจาก Gold-to-Silver Ratio บอกอะไรเรา?  ดัชนี Gold-to-Silver Ratio คือตัววัดว่าต้องใช้เงินกี่ออนซ์เพื่อซื้อทองคำหนึ่งออนซ์ ตามประวัติศาสตร์แล้ว ค่าเฉลี่ยของดัชนีนี้มักจะต่ำกว่าระดับปัจจุบันมาก ถ้าระดับนี้ยังสูงอยู่ แปลว่าเงิน ยังถูกมากเมื่อเทียบกับทอง ถ้าระดับนี้ต่ำ แปลว่าเงินเริ่มแพงแล้ว   ปัจจุบันดัชนีนี้ยังอยู่สูงกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวค่อนข้างมาก ซึ่งสะท้อนว่าที่ผ่านมา “เงิน” วิ่งตาม “ทอง” ไม่ทัน แม้จะไม่ได้ยืนยันว่าราคาต้องพุ่งขึ้นแน่นอน แต่มันชี้ให้เห็นถึงความเหลื่อมล้ำของมูลค่าที่น่าจับตามอง หากตลาดทองยังพีคอยู่แบบนี้ ส่วนต่างตรงนี้อาจจะแคบลงได้ ซึ่งขึ้นอยู่กับภาวะมหภาคและพฤติกรรมของนักลงทุนด้วย  เป้าหมายราคาปี 2026: จะไปได้ไกลแค่ไหน?  แทนที่จะฟันธงเป๊ะๆ ตลาดมักจะมองเป็นสถานการณ์ต่างๆ มากกว่า แน่นอนว่าไม่ใช่การการันตี แต่มันคือภาพสะท้อนว่าตลาดเคยทำอะไรแบบนี้มาแล้วในช่วงที่วัฏจักรเศรษฐกิจเอื้ออำนวย  ระวังจุดเปลี่ยนช่วงครึ่งหลังของปี 2026  แม้ช่วงต้นปีจะดูสดใส แต่ต้องระวังตัวแปรที่อาจเปลี่ยนเกมได้ เช่น:  ต้องไม่ลืมว่าโลหะมีค่าวิ่งตาม “ความคาดหวัง” ไม่ใช่แค่ผลลัพธ์ที่ออกมาแล้วเท่านั้น  สรุปแล้ว ปี 2026 น่าซื้อหรือน่าขาย?  ภาพรวมตอนนี้ยังดูเป็นบวก สำหรับทองคำและเงิน โดยเฉพาะในช่วงต้นปี แต่หน้างานก็สามารถเปลี่ยนได้เสมอตามสไตล์ตลาดที่เคลื่อนที่ด้วยปัจจัยมหภาค ปี 2026 จึงน่าจะเป็นปีที่ราคาวิ่งตามสัญญาณนโยบายและข้อมูลเศรษฐกิจแบบติดขอบสนาม ใครที่เป็นสายเทรดต้องติดตามความเชื่อมั่นของตลาดให้ดี 

          article-thumbnail

          2025-12-18 | วิเคราะห์ตลาดเชิงลึก

          ตลาดเกิดอะไรขึ้นในปี 2025? หุ้นเด่น หุ้นร่วง และการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ 

          ถ้าปี 2024 คือการรอจังหวะ ปี 2025 คือการปรับฐานราคาครั้งใหญ่  ตลอดทั้งปี ตลาดมีการสลับสับเปลี่ยนธีมกันไปมาทั้งในแง่ของ :   หุ้นเติบโต (Growth) ชะลอตัวลงพักหนึ่ง ก่อนจะกลับมาแรงอีกครั้ง  สินทรัพย์ปลอดภัยกลับมาเป็นที่ต้องการ  ความผันผวนยังคงสูงลิ่วในทุกสินทรัพย์  ปี 2025 ไม่ได้มีเทรนด์เดียวที่ชัดเจน แต่มีทั้งผู้ชนะที่โดดเด่น หุ้นที่ร่วงแรง และการเปลี่ยนผู้นำตลาดที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว3 อันดับหุ้นที่ทำกำไรสูงสุดในปี 2025   Top 3 หุ้นเด่น ประจำปี 2025  แม้ว่ากลุ่มผู้นำในตลาดจะหมุนเวียนไปมาตลอดปี แต่มี 3 หุ้นที่ดึงดูดความสนใจได้อย่างต่อเนื่องและทำผลงานได้ดีกว่าตลาดโดยรวม  Micron Technology (MU)  Micron (MU) พุ่งขึ้นราว 200% จากจุดต่ำสุดในปี 2025 ถือเป็นหนึ่งในหุ้นที่ทำผลงานได้ดีที่สุดในปีนั้น  Micron ได้รับแรงหนุนหลักจากความเชื่อมั่นครั้งใหม่ในวงจรเซมิคอนดักเตอร์ ทั้งราคาหน่วยความจำที่นิ่งขึ้น ความต้องการที่เกี่ยวข้องกับ AI ที่ทำให้มองเห็นอนาคตได้ชัดเจนขึ้น และความคาดหวังเกี่ยวกับการลงทุนรอบใหม่ (capex) ช่วยเปลี่ยนมุมมองนักลงทุน ผลงานของ MU สะท้อนธีมใหญ่ในปี 2025 คือ ความแข็งแกร่งแบบเลือกสรรในกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ ไม่ใช่การเหมาซื้อทั้งกลุ่ม  Palantir Technologies (PLTR)  Palantir Technologies (PLTR) ทะยานขึ้นกว่า 200% จากจุดต่ำสุดในปี 2025 คล้ายกับ MU  Palantir ยังคงเป็นหนึ่งในหุ้นที่มีคนพูดถึงมากที่สุดแห่งปี การมุ่งเน้นที่สัญญาภาครัฐ ซอฟต์แวร์องค์กร และการวิเคราะห์ที่ขับเคลื่อนด้วย AI ทำให้มันยังอยู่ในความสนใจแม้ในช่วงที่หุ้นเทคโนโลยีโดยรวมมีการปรับฐาน ความแข็งแกร่งของ PLTR ตอกย้ำว่า โมเดลรายได้ประจำและกรณีการใช้งานที่ชัดเจน คือสิ่งที่ตลาดให้รางวัลเมื่อนักลงทุนเลือกสรรมากขึ้น  Advanced Micro Devices (AMD)  AMD ได้เปรียบจากการวางตำแหน่งในตลาดศูนย์ข้อมูล (Data Centers) อีกทั้งยังมี AI และคอมพิวเตอร์ประสิทธิภาพสูง แม้ว่าการแข่งขันในตลาดชิปจะดุเดือด แต่ AMD ก็สามารถรักษาความเกี่ยวข้องในกระแส AI ได้ และหลีกเลี่ยงการแกว่งตัวของความเชื่อมั่นอย่างรุนแรงที่เห็นในหุ้นเก็งกำไรอื่นๆ3 อันดับหุ้นที่ขาดทุนสูงสุดในปี 2025 […]

          article-thumbnail

          2025-12-12 | วิเคราะห์ตลาดเชิงลึก

          Santa Claus Rally ส่อแววสะดุด: ทั่วโลกลุ้นการตัดสินใจของเฟด 

          สำคัญ: เนื้อหานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับ Santa Claus Rally เท่านั้น และไม่ถือเป็นคำแนะนำในการลงทุน การซื้อขายสินค้าโภคภัณฑ์และ CFD มีความเสี่ยงสูงต่อการขาดทุน  เทศกาลแห่งความสุขมาถึงแล้ว พร้อมกับสิ่งที่ชาววอลล์สตรีทรอคอย นั่นคือ Santa Claus Rally (ปรากฏการณ์หุ้นขึ้นส่งท้ายปี)  แต่ปีนี้ ความสุขนั้นอาจต้องเจอทางตัน เพราะมีด่านสำคัญคือ การตัดสินใจเรื่องดอกเบี้ยของเฟด ในวันที่ 11 ธันวาคม ทำให้นักเทรดทั่วโลกตั้งคำถามเดียวกันว่า เฟดจะยอมเปิดทางให้เกิด Santa Claus Rally หรือจะดับฝันนี้ลง?  ก่อนที่เราจะไปเจาะลึกว่าเฟดจะชี้ชะตาเดือนธันวาคมได้อย่างไร เรามาทำความเข้าใจกันก่อนว่าการแรลลี่รอบนี้คืออะไร และทำไมมันถึงมีสถิติที่น่าสนใจขนาดนี้  Santa Claus Rally คืออะไร?  Santa Claus Rally หมายถึงช่วงเวลาที่ตลาดหุ้นมักจะปรับตัวเป็นขาขึ้นตามประวัติศาสตร์ ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือนธันวาคมยาวไปจนถึงสองวันแรกของเดือนมกราคม นี่คือหนึ่งในเทรนด์ตามฤดูกาลที่โด่งดังที่สุดของวอลล์สตรีท โดยมีปัจจัยหนุนจากการฟื้นตัวของบรรยากาศการลงทุน, แรงขายเพื่อลดหย่อนภาษีที่น้อยลง, การมองโลกในแง่ดีช่วงวันหยุด, และปริมาณการซื้อขายที่เบาบางลง  ทำไมถึงเกิดขึ้น  นักวิเคราะห์ตลาดมักชี้ไปที่ปัจจัยผสมผสานเหล่านี้: แม้สาเหตุที่แท้จริงจะยังเป็นที่ถกเถียง แต่ข้อมูลผลตอบแทนนั้นยากที่จะปฏิเสธ  สถิติย้อนหลัง: ธันวาคมคือหนึ่งในเดือนที่แข็งแกร่งที่สุดของตลาด  1. ผลตอบแทนเฉลี่ย +1.3% นับตั้งแต่ปี 1927  ทำให้ธันวาคมเป็นเดือนที่แกร่งที่สุดเดือนหนึ่งของปี ชนะกันยายนที่มักจะแย่ที่สุดแบบขาดลอย  2. โอกาสชนะสูงถึง 72.5% เกือบ 3 ใน 4 ของเดือนธันวาคมในอดีต จบลงด้วยการปิดบวก (เขียว)  นี่คืออัตราการชนะที่สูงที่สุดเมื่อเทียบกับเดือนอื่นๆ โดยเกือบ 3 ใน 4 ของเดือนธันวาคมปิดตลาดในแดนเขียว  นี่คือเหตุผลที่เทรดเดอร์ชอบพูดว่า: “เมื่อซานต้ามาเยือนวอลล์สตรีท หุ้นก็มักจะปรับตัวขึ้น”  ทำไม Santa Claus Rally ถึงมีความเสี่ยงในปี 2025?  ปกติแล้ว ปัจจัยฤดูกาลจะช่วยดันตลาดได้สบายๆ ตราบใดที่ไม่มีอะไรใหญ่ๆ มาขวางทาง แต่ปีนี้มี “ก้อนหินก้อนใหญ่” ขวางอยู่  นั่นคือ “ประชุมเฟด 11 ธันวาคม”  ตลาดไม่ได้แค่จับตามอง แต่กำลัง “กลั้นหายใจ” ลุ้นตัวโก่ง  ทำไมเฟดถึงคุมเกมรอบนี้:  1. ลดดอกเบี้ย vs คงดอกเบี้ย : สถาการณ์ตลาดขึ้นอยู่กับสิ่งนี้   ถ้าเฟดส่งสัญญาณว่าจะลดดอกเบี้ยต้นปี 2026 สินทรัพย์เสี่ยงจะพุ่งทยานแน่ๆ (คอนเฟิร์ม Rally)   แต่ถ้าเฟดมาสายแข็ง (Hawkish) เตือนเรื่องเงินเฟ้อ การแรลลี่อาจกลายเป็นการเทขายหนีตายแทน  2. นักลงทุนต้องการความชัดเจน  หุ้นที่ขึ้นมาตอนนี้ยังดู “กล้าๆ กลัวๆ” ถ้าเฟดให้สัญญาณ “ไปต่อ” เงินที่รอนอกสนามจะไหลกลับเข้ามาทันที  3. Bond yields คือตัวกำหนด  yields ต่ำ = หุ้นวิ่ง   yields สูง = กดดันหุ้นเทคและสินทรัพย์เสี่ยง   ซึ่งคำพูดเฟดจะสั่งซ้ายหันขวาหันให้ยีลด์ได้ทันที  ตลาดต้องการอะไรจากเฟด เพื่อฉลองให้กับ Rally?  เพื่อให้กราฟพุ่งรับปีใหม่ นักลงทุนขอแค่:  1. โทนที่ผ่อนคลาย  แค่ยืนยันว่า “ขาขึ้นดอกเบี้ยจบแล้ว” ก็พอใจแล้ว  2. คลายกังวลเงินเฟ้อ  ถ้าเฟดมองว่าเงินเฟ้อลงอย่างยั่งยืน ตลาดจะกล้าลุย  […]