ภาษีทรัมป์ กระทบกับตลาดการเงินทั่วโลกอย่างไรในปี 2025?  

2025-04-17 | ภาษีชุดใหม่ , ภาษีทรัมป์ , ภาษีศุลกากรตอบโต้

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ประกาศใช้นโยบาย “ภาษีศุลกากรตอบโต้” (Reciprocal Tariff) หรือ ภาษีทรัมป์ ฉบับใหม่ ที่มุ่งเป้าไปยังประเทศต่างๆ ทั่วโลก ซึ่งถือว่าเกินความคาดหมายของตลาดอย่างมาก การเคลื่อนไหวนี้เป็นการเปลี่ยนแปลงเชิงกลยุทธ์ครั้งใหญ่ของนโยบายการค้าสหรัฐฯ และส่งสัญญาณถึงการปรับโครงสร้างใหม่ของระบบการค้าโลก 

การประกาศดังกล่าวสร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่วตลาดการเงินทั่วโลก โดยเกิดแรงตอบรับอย่างฉับพลันและรุนแรงจากทั้งนักลงทุนและผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจ แล้วภาษีชุดใหม่ของทรัมป์มีรายละเอียดอย่างไร? และจะส่งผลต่อทิศทางของตลาดการเงินในปี 2025 อย่างไร? มาดูในบทความนี้กัน  

เมื่อวันที่ 2 เมษายนที่ผ่านมา ทรัมป์ได้เปิดตัวกรอบนโยบายภาษีใหม่ โดยมุ่งเน้นไปที่การจัดการปัญหาการขาดดุลทางการค้าระดับโลก โดยมีมาตรการสำคัญดังต่อไปนี้: 

  • เก็บภาษี 10% สำหรับสินค้านำเข้าจากทุกประเทศทั่วโลก มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 5 เมษายน เวลา 00:01 น. 
  • กำหนดอัตราภาษีเฉพาะประเทศที่มีดุลการค้าเกินดุลกับสหรัฐฯ สูงที่สุด อัตราภาษีจะอยู่ในช่วง 10% – 49% เริ่มมีผลในวันที่ 9 เมษายน ประเทศอื่น ๆ ที่ไม่ได้อยู่ในกลุ่มนี้จะถูกจัดเก็บตามอัตราพื้นฐานที่ 10% 
  • เก็บภาษี 25% สำหรับรถยนต์นำเข้าทุกรุ่นจากทุกประเทศ มีผลบังคับใช้ทันที 

จากงานวิจัยของ Yale University พบว่า มาตรการใหม่นี้ส่งผลให้ อัตราภาษีเฉลี่ยของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นเป็น 22.5% ซึ่งนับว่าเป็นระดับสูงสุดตั้งแต่ปี 1909 และมากกว่าค่าประมาณการณ์เดิมที่อยู่ราว 10% ถึง 2 เท่า 

นโยบายภาษีของทรัมป์มีเป้าหมายหลักอยู่ 3 ข้อสำคัญ: 

  • แก้ไขปัญหาดุลการค้า: ทรัมป์ต้องการตอบโต้สิ่งที่เขาเรียกว่า “แนวทางการค้าที่ไม่เป็นธรรม” โดยมีเป้าหมายในการนำงานด้านการผลิตกลับคืนสู่สหรัฐฯ 
  • กระตุ้นการจ้างงานในประเทศ: ด้วยการทำให้สินค้าที่ผลิตในอเมริกามีความสามารถในการแข่งขันมากขึ้น รัฐบาลคาดว่าจะช่วยกระตุ้นการเติบโตในภาคอุตสาหกรรมและสร้างตำแหน่งงานใหม่ให้กับชาวอเมริกัน 
  • เพิ่มรายได้ให้รัฐบาลกลาง: การจัดเก็บภาษีนำเข้าที่สูงขึ้นจะสร้างรายได้เพิ่มเติมให้กับรัฐบาล ซึ่งจะช่วยสนับสนุนงบประมาณของประเทศ 

หลังจากมีการประกาศนโยบายภาษีใหม่ ตลาดการเงินตอบสนองอย่างรวดเร็วและรุนแรง ทั้งในแง่ของ :  

ตลาดหุ้นดิ่งแรง 

  • เมื่อวันที่ 3 เมษายน ดัชนี Dow Jones, S&P 500 และ Nasdaq ต่างพากันร่วงหนัก โดยแตะระดับการปรับตัวลดลงรายวันที่แรงที่สุดในรอบหลายปี 
  • แรงขายยังคงต่อเนื่องในวันที่ 4 เมษายน โดยดัชนี S&P 500 ดิ่งลงถึง 5.97% ซึ่งเป็นการร่วงลงรายวันที่แรงที่สุดนับตั้งแต่เดือนมีนาคม 2020 

ดอลลาร์อ่อนค่า 

  • ดัชนีค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ (US Dollar Index) ร่วงจากระดับเหนือ 104 ลงมาต่ำกว่า 102 ภายในวันเดียส่งผลให้สกุลเงินหลักอื่นๆ แข็งค่าขึ้นทันที 

ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ผันผวน 

  • ทองคำ พุ่งขึ้นเกือบแตะระดับ $3,200 ต่อออนซ์ ก่อนจะย่อตัวลง เนื่องจากเงินทุนไหลเข้าสินทรัพย์ปลอดภัยอื่น 
  • น้ำมันดิบ ร่วงลงกว่า 4% จากความกังวลว่าอุปสงค์ด้านพลังงานทั่วโลกจะลดลงตามภาวะการค้าที่ย่อตัว 

สินค้าอุปโภคบริโภค 

การปรับขึ้นภาษีรอบนี้กระทบกับสินค้าผู้บริโภคหลายประเภท หลายบริษัทที่เคยย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศอย่างเวียดนามและไทย เพื่อหลีกเลี่ยงภาษีในรอบก่อน กลับต้องพบว่าประเทศเหล่านี้ถูกจัดอยู่ใน “กลุ่มภาษีสูง” ด้วยเช่นกัน 

แบรนด์ดังอย่าง Nike และ Adidas มีราคาหุ้นร่วงลงเกือบ 10% หลังจากมีประกาศภาษีใหม่ 

อุตสาหกรรมยานยนต์ 

ผู้ผลิตรถยนต์ต่างประเทศต้องเจอกับภาษีนำเข้าสหรัฐฯ สูงถึง 25% แบรนด์หรูอย่าง BMW และ Mercedes-Benz ได้รับผลกระทบโดยตรง โดยต้นทุนการนำเข้ารถบางรุ่นเพิ่มขึ้นถึง $20,000 ต่อคัน 

ภาษีจะมีการเจรจาลดลงหรือไม่? 

รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ Vincent Besson ระบุว่าแผนภาษีวันที่ 2 เมษายนถือเป็น “เพดานสูงสุด” ซึ่งบ่งชี้ว่ายังมีพื้นที่สำหรับการเจรจาในช่วงไม่กี่สัปดาห์ถัดไป การพูดคุยระหว่างสหรัฐฯ กับคู่ค้า ถือเป็นปัจจัยสำคัญ หากมีสัญญาณของการประนีประนอม อาจช่วยลดแรงกดดันในตลาดได้ 

เมื่อวันที่ 9 เมษายน ทรัมป์ประกาศ ชะลอการบังคับใช้ภาษีใหม่ชั่วคราว โดยลดอัตราภาษีเหลือ 10% สำหรับสินค้านำเข้าจากคู่ค้าสหรัฐฯ ส่วนใหญ่ และให้เวลาการเจรจา 90 วัน 

ตลอดช่วง 3 เดือนข้างหน้า การเจรจาเพื่อปรับลดอัตราภาษีจริงจะเป็นประเด็นหลัก และผลลัพธ์จากการเจรจานี้อาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นในตลาดการเงินทั่วโลก 

ความไม่แน่นอนด้านนโยบายเศรษฐกิจพุ่งสูง 

Source : FRED

หลังจากมีประกาศภาษี ดัชนีความไม่แน่นอนด้านนโยบายเศรษฐกิจของสหรัฐฯ (Economic Policy Uncertainty Index) พุ่งสูงขึ้นทันที เมื่อความไม่แน่นอนเพิ่มขึ้น ภาคธุรกิจมักจะชะลอการลงทุน ซึ่งนำไปสู่ความกังวลว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจเข้าสู่ภาวะถดถอยภายในปีนี้ 

ท่ามกลางความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจโลก ตลาดได้สะท้อนคาดการณ์ว่า Fed อาจปรับลดดอกเบี้ยมากถึง 5 ครั้งในปี 2025 คิดเป็นรวม 125 จุดเบสิส บางฝ่ายคาดว่า Fed อาจเริ่มดำเนินการก่อนการประชุมอย่างเป็นทางการครั้งถัดไป 

อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ทรัมป์ประกาศชะลอการบังคับใช้ภาษีแบบเต็มรูปแบบ ความคาดหวังต่อการลดดอกเบี้ยแบบรุนแรงก็เริ่มลดลง แต่แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยยังคงผันผวนสูง สะท้อนให้เห็นถึงความเปราะบางของความเชื่อมั่นในตลาด 

การเคลื่อนไหวของตลาดในระยะยาว  

ทรัมป์แสดงจุดยืนอย่างชัดเจนว่า “ภาษีศุลกากรคือหัวใจของนโยบายเศรษฐกิจของเขา” และมีแนวโน้มว่าจะยังคงใช้อย่างต่อเนื่อง นั่นหมายความว่า ความไม่แน่นอนจากการเจรจาการค้าระหว่างประเทศจะยังคงส่งผลกระทบต่อตลาด อย่างต่อเนื่อง 

นักลงทุนระยะยาวจึงจำเป็นต้องพิจารณาประเด็นนี้ในการจัดพอร์ตลงทุน เพราะทุกความเคลื่อนไหว ไม่ว่าจะเป็นการประกาศภาษีใหม่ หรือความคืบหน้าทางการทูต อาจส่งแรงกระเพื่อมไปทั่วทั้งอุตสาหกรรมได้ทันที 

ความอ่อนไหวของตลาดในระยะสั้น 

นับตั้งแต่ประกาศภาษีเมื่อวันที่ 2 เมษายน ความผันผวนในตลาดระยะสั้นทวีความรุนแรงขึ้น ตัวอย่างเช่น วันที่ 8 เมษายน เพียงแค่มีข่าวลือว่า การบังคับใช้ภาษีอาจถูกเลื่อน ทำให้ราคาหุ้นพุ่งขึ้นทันที แต่ไม่นานก็ร่วงลงอย่างรวดเร็วหลังจากมีการยืนยันว่าไม่เป็นความจริง เหตุการณ์แบบนี้สะท้อนว่า ตลาดมีความไวสูงต่อข่าวสารเชิงนโยบาย ความผันผวนของราคาและความรู้สึกนักลงทุนจึงอาจยังคงอยู่ต่อเนื่องตลอดช่วงหลายเดือนข้างหน้า 

ไม่กี่เดือนข้างหน้านี้จะเป็นช่วงเวลาสำคัญว่า แต่ละประเทศจะสามารถเจรจาลดอัตราภาษีได้หรือไม่ เพราะท่าทีของการเจรจาการค้าโลกจะส่งผลโดยตรงต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนและแนวโน้มตลาดโลกในระยะนี้ สิ่งสำคัญคือ ความคล่องตัว นักลงทุนควรจับตาการเปลี่ยนแปลงนโยบายทั่วโลกและเตรียมพร้อมปรับพอร์ต เพื่อลดความเสี่ยง และ คว้าโอกาส ที่จะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว 

อ่านบทความวิเคราะห์ตลาดอีกมากมายที่นี่


การเปิดเผยความเสี่ยง 
หลักทรัพย์ ฟิวเจอร์ส CFD และผลิตภัณฑ์ทางการเงินอื่นๆ มีความเสี่ยงสูงเนื่องจากความผันผวนของมูลค่าและราคาของเครื่องมือทางการเงินพื้นฐาน เนื่องจากความเคลื่อนไหวของตลาดที่ไม่พึงประสงค์และคาดเดาไม่ได้ อาจเกิดการขาดทุนมากกว่าการลงทุนเริ่มต้นของท่านในระยะเวลาอันสั้น    
โปรดตรวจสอบให้แน่ใจว่าท่านเข้าใจความเสี่ยงของการซื้อขายกับเครื่องมือทางการเงินแต่ละประเภทอย่างถ่องแท้ก่อนทำธุรกรรมกับเรา หากท่านไม่เข้าใจความเสี่ยงดังที่ได้อธิบายไว้ในนี้ ควรขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญอิสระ 

ข้อจำกัดความรับผิดชอบ   
ข้อมูลที่ปรากฏในบล็อกนี้มีไว้เพื่ออ้างอิงทั่วไปเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาให้เป็นคำแนะนำการลงทุน ข้อเสนอแนะ คำเชิญ หรือการเสนอขายหรือซื้อเครื่องมือทางการเงินใดๆ ทั้งนี้ไม่ได้พิจารณาถึงวัตถุประสงค์การลงทุนหรือสถานการณ์ทางการเงินเฉพาะของผู้รับข้อมูลแต่ละราย ผลการดำเนินงานในอดีตไม่สามารถเป็นตัวบ่งชี้ที่เชื่อถือได้สำหรับผลการดำเนินงานในอนาคต D Prime และบริษัทในเครือไม่ให้การรับรองหรือรับประกันใดๆ เกี่ยวกับความถูกต้องหรือความสมบูรณ์ของข้อมูลนี้ และไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสียหรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากการใช้ข้อมูลนี้หรือลงทุนตามข้อมูลดังกล่าว  
กลยุทธ์ที่กล่าวถึงข้างต้นสะท้อนถึงความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญและมีไว้เพื่อการอ้างอิงเท่านั้น ไม่ควรใช้หรือพิจารณาเป็นพื้นฐานในการตัดสินใจซื้อขายหรือคำเชิญชวนให้เข้าทำธุรกรรมใดๆ D Prime ไม่รับรองความถูกต้องหรือความครบถ้วนของรายงานนี้และปฏิเสธความรับผิดใดๆ ต่อความเสียหายที่เป็นผลมาจากการใช้รายงานนี้ คุณไม่ควรพึ่งพารายงานนี้แต่เพียงอย่างเดียวเพื่อทดแทนการตัดสินใจของคุณเอง ตลาดมีความเสี่ยงเสมอ และการลงทุนควรใช้ความระมัดระวัง 

วิเคราะห์ตลาดเชิงลึกIconBrandElement

article-thumbnail

2025-12-26 | วิเคราะห์ตลาดเชิงลึก

คาดการณ์ ปี 2026 ‘ทองคำและเงิน’ เป็นขาขึ้นหรือขาลง?  

ตอนนี้ทองคำและเงินยังคงเดินหน้าทำลายสถิติใหม่ไม่หยุด เรียกว่าพุ่งทะลุ All-Time High กันแทบจะสัปดาห์เว้นสัปดาห์เลยทีเดียว จากตอนแรกที่ดูเหมือนเป็นการฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป กลายเป็นว่าตอนนี้เรากำลังอยู่ในช่วงการแรลลี่ที่แข็งแกร่งที่สุดครั้งหนึ่งในรอบหลายทศวรรษ จนดึงดูดสายตาทั้งนักลงทุนสายถือยาวและเดย์เทรดให้หันมามองกันหมด  คำถามที่ทุกคนอยากรู้คือ ในปี 2026 เทรนด์นี้จะยังไปต่อได้ไหม หรือราคาเริ่มวิ่งนำหน้าปัจจัยพื้นฐานไปไกลเกินแล้ว?   จนถึงตอนนี้ ปัจจัยต่างๆ ยังคงซัพพอร์ตราคาได้ดี ทั้งแรงกดดันเงินเฟ้อที่ลดลง ความคาดหวังเรื่องดอกเบี้ยที่เปลี่ยนไป ความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ และความกังวลในค่าเงินฟีแอต ทั้งหมดนี้คือเชื้อเพลิงที่ทำให้ดีมานด์พุ่งสูงขึ้น เมื่อมองไปถึงปี 2026 ตลาดจึงต้องมาเช็คกันว่าแรงส่งเหล่านี้จะยังทำงานอยู่หรือไม่  ทำไมทองคำและเงินถึงทำสถิติสูงสุดใหม่?  การที่โลหะมีค่าพุ่งแรงขนาดนี้ เกิดจากการประสานแรงของปัจจัยมหภาคหลายตัวพร้อมกัน:  พอปัจจัยเหล่านี้มารวมกัน ก็ทำให้ต้นทุนค่าเสียโอกาสในการถือทองคำและเงิน (ซึ่งไม่มีปันผลหรือดอกเบี้ย) ลดน้อยลง กลายเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัยและน่าดึงดูดกว่าการเก็บเงินในระบบการเงินปกติ  ในปี 2026 Fed จะลดดอกเบี้ยหนักกว่าเดิมไหม?  คำถามยอดฮิตที่หลายคนเสิร์ชกันคือ “การลดดอกเบี้ยส่งผลยังไงกับทองและเงิน?”  ตอนนี้ตลาดโฟกัสไปที่นโยบายการเงินเฟสถัดไป ถ้าเงินเฟ้อยังคุมได้และตัวเลขจ้างงานชะลอตัวต่อเนื่อง โอกาสที่จะเห็นการลดดอกเบี้ยเพิ่มก็มีสูง ซึ่งตามสถิติแล้ว ช่วงที่ดอกเบี้ยเป็นขาลงมักจะเป็น “สวรรค์” ของทองคำและเงิน โดยเฉพาะในช่วงแรกๆ ที่ตลาดปรับความคาดหวังได้เร็วกว่าตัวนโยบายจริงเสียอีก  ตัวเลข CPI และการจ้างงาน สำคัญแค่ไหน?  สองตัวนี้คือหัวใจหลักของแนวโน้มราคาเลย:  หากเทรนด์นี้ยังอยู่ เราอาจได้เห็นราคาทองและเงินพุ่งรับข่าวล่วงหน้าไปก่อนที่นโยบายจะประกาศใช้จริงเสียอีก  สัญญาณจาก Gold-to-Silver Ratio บอกอะไรเรา?  ดัชนี Gold-to-Silver Ratio คือตัววัดว่าต้องใช้เงินกี่ออนซ์เพื่อซื้อทองคำหนึ่งออนซ์ ตามประวัติศาสตร์แล้ว ค่าเฉลี่ยของดัชนีนี้มักจะต่ำกว่าระดับปัจจุบันมาก ถ้าระดับนี้ยังสูงอยู่ แปลว่าเงิน ยังถูกมากเมื่อเทียบกับทอง ถ้าระดับนี้ต่ำ แปลว่าเงินเริ่มแพงแล้ว   ปัจจุบันดัชนีนี้ยังอยู่สูงกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวค่อนข้างมาก ซึ่งสะท้อนว่าที่ผ่านมา “เงิน” วิ่งตาม “ทอง” ไม่ทัน แม้จะไม่ได้ยืนยันว่าราคาต้องพุ่งขึ้นแน่นอน แต่มันชี้ให้เห็นถึงความเหลื่อมล้ำของมูลค่าที่น่าจับตามอง หากตลาดทองยังพีคอยู่แบบนี้ ส่วนต่างตรงนี้อาจจะแคบลงได้ ซึ่งขึ้นอยู่กับภาวะมหภาคและพฤติกรรมของนักลงทุนด้วย  เป้าหมายราคาปี 2026: จะไปได้ไกลแค่ไหน?  แทนที่จะฟันธงเป๊ะๆ ตลาดมักจะมองเป็นสถานการณ์ต่างๆ มากกว่า แน่นอนว่าไม่ใช่การการันตี แต่มันคือภาพสะท้อนว่าตลาดเคยทำอะไรแบบนี้มาแล้วในช่วงที่วัฏจักรเศรษฐกิจเอื้ออำนวย  ระวังจุดเปลี่ยนช่วงครึ่งหลังของปี 2026  แม้ช่วงต้นปีจะดูสดใส แต่ต้องระวังตัวแปรที่อาจเปลี่ยนเกมได้ เช่น:  ต้องไม่ลืมว่าโลหะมีค่าวิ่งตาม “ความคาดหวัง” ไม่ใช่แค่ผลลัพธ์ที่ออกมาแล้วเท่านั้น  สรุปแล้ว ปี 2026 น่าซื้อหรือน่าขาย?  ภาพรวมตอนนี้ยังดูเป็นบวก สำหรับทองคำและเงิน โดยเฉพาะในช่วงต้นปี แต่หน้างานก็สามารถเปลี่ยนได้เสมอตามสไตล์ตลาดที่เคลื่อนที่ด้วยปัจจัยมหภาค ปี 2026 จึงน่าจะเป็นปีที่ราคาวิ่งตามสัญญาณนโยบายและข้อมูลเศรษฐกิจแบบติดขอบสนาม ใครที่เป็นสายเทรดต้องติดตามความเชื่อมั่นของตลาดให้ดี 

article-thumbnail

2025-12-18 | วิเคราะห์ตลาดเชิงลึก

ตลาดเกิดอะไรขึ้นในปี 2025? หุ้นเด่น หุ้นร่วง และการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ 

ถ้าปี 2024 คือการรอจังหวะ ปี 2025 คือการปรับฐานราคาครั้งใหญ่  ตลอดทั้งปี ตลาดมีการสลับสับเปลี่ยนธีมกันไปมาทั้งในแง่ของ :   หุ้นเติบโต (Growth) ชะลอตัวลงพักหนึ่ง ก่อนจะกลับมาแรงอีกครั้ง  สินทรัพย์ปลอดภัยกลับมาเป็นที่ต้องการ  ความผันผวนยังคงสูงลิ่วในทุกสินทรัพย์  ปี 2025 ไม่ได้มีเทรนด์เดียวที่ชัดเจน แต่มีทั้งผู้ชนะที่โดดเด่น หุ้นที่ร่วงแรง และการเปลี่ยนผู้นำตลาดที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว3 อันดับหุ้นที่ทำกำไรสูงสุดในปี 2025   Top 3 หุ้นเด่น ประจำปี 2025  แม้ว่ากลุ่มผู้นำในตลาดจะหมุนเวียนไปมาตลอดปี แต่มี 3 หุ้นที่ดึงดูดความสนใจได้อย่างต่อเนื่องและทำผลงานได้ดีกว่าตลาดโดยรวม  Micron Technology (MU)  Micron (MU) พุ่งขึ้นราว 200% จากจุดต่ำสุดในปี 2025 ถือเป็นหนึ่งในหุ้นที่ทำผลงานได้ดีที่สุดในปีนั้น  Micron ได้รับแรงหนุนหลักจากความเชื่อมั่นครั้งใหม่ในวงจรเซมิคอนดักเตอร์ ทั้งราคาหน่วยความจำที่นิ่งขึ้น ความต้องการที่เกี่ยวข้องกับ AI ที่ทำให้มองเห็นอนาคตได้ชัดเจนขึ้น และความคาดหวังเกี่ยวกับการลงทุนรอบใหม่ (capex) ช่วยเปลี่ยนมุมมองนักลงทุน ผลงานของ MU สะท้อนธีมใหญ่ในปี 2025 คือ ความแข็งแกร่งแบบเลือกสรรในกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ ไม่ใช่การเหมาซื้อทั้งกลุ่ม  Palantir Technologies (PLTR)  Palantir Technologies (PLTR) ทะยานขึ้นกว่า 200% จากจุดต่ำสุดในปี 2025 คล้ายกับ MU  Palantir ยังคงเป็นหนึ่งในหุ้นที่มีคนพูดถึงมากที่สุดแห่งปี การมุ่งเน้นที่สัญญาภาครัฐ ซอฟต์แวร์องค์กร และการวิเคราะห์ที่ขับเคลื่อนด้วย AI ทำให้มันยังอยู่ในความสนใจแม้ในช่วงที่หุ้นเทคโนโลยีโดยรวมมีการปรับฐาน ความแข็งแกร่งของ PLTR ตอกย้ำว่า โมเดลรายได้ประจำและกรณีการใช้งานที่ชัดเจน คือสิ่งที่ตลาดให้รางวัลเมื่อนักลงทุนเลือกสรรมากขึ้น  Advanced Micro Devices (AMD)  AMD ได้เปรียบจากการวางตำแหน่งในตลาดศูนย์ข้อมูล (Data Centers) อีกทั้งยังมี AI และคอมพิวเตอร์ประสิทธิภาพสูง แม้ว่าการแข่งขันในตลาดชิปจะดุเดือด แต่ AMD ก็สามารถรักษาความเกี่ยวข้องในกระแส AI ได้ และหลีกเลี่ยงการแกว่งตัวของความเชื่อมั่นอย่างรุนแรงที่เห็นในหุ้นเก็งกำไรอื่นๆ3 อันดับหุ้นที่ขาดทุนสูงสุดในปี 2025 […]

article-thumbnail

2025-12-12 | วิเคราะห์ตลาดเชิงลึก

Santa Claus Rally ส่อแววสะดุด: ทั่วโลกลุ้นการตัดสินใจของเฟด 

สำคัญ: เนื้อหานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับ Santa Claus Rally เท่านั้น และไม่ถือเป็นคำแนะนำในการลงทุน การซื้อขายสินค้าโภคภัณฑ์และ CFD มีความเสี่ยงสูงต่อการขาดทุน  เทศกาลแห่งความสุขมาถึงแล้ว พร้อมกับสิ่งที่ชาววอลล์สตรีทรอคอย นั่นคือ Santa Claus Rally (ปรากฏการณ์หุ้นขึ้นส่งท้ายปี)  แต่ปีนี้ ความสุขนั้นอาจต้องเจอทางตัน เพราะมีด่านสำคัญคือ การตัดสินใจเรื่องดอกเบี้ยของเฟด ในวันที่ 11 ธันวาคม ทำให้นักเทรดทั่วโลกตั้งคำถามเดียวกันว่า เฟดจะยอมเปิดทางให้เกิด Santa Claus Rally หรือจะดับฝันนี้ลง?  ก่อนที่เราจะไปเจาะลึกว่าเฟดจะชี้ชะตาเดือนธันวาคมได้อย่างไร เรามาทำความเข้าใจกันก่อนว่าการแรลลี่รอบนี้คืออะไร และทำไมมันถึงมีสถิติที่น่าสนใจขนาดนี้  Santa Claus Rally คืออะไร?  Santa Claus Rally หมายถึงช่วงเวลาที่ตลาดหุ้นมักจะปรับตัวเป็นขาขึ้นตามประวัติศาสตร์ ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือนธันวาคมยาวไปจนถึงสองวันแรกของเดือนมกราคม นี่คือหนึ่งในเทรนด์ตามฤดูกาลที่โด่งดังที่สุดของวอลล์สตรีท โดยมีปัจจัยหนุนจากการฟื้นตัวของบรรยากาศการลงทุน, แรงขายเพื่อลดหย่อนภาษีที่น้อยลง, การมองโลกในแง่ดีช่วงวันหยุด, และปริมาณการซื้อขายที่เบาบางลง  ทำไมถึงเกิดขึ้น  นักวิเคราะห์ตลาดมักชี้ไปที่ปัจจัยผสมผสานเหล่านี้: แม้สาเหตุที่แท้จริงจะยังเป็นที่ถกเถียง แต่ข้อมูลผลตอบแทนนั้นยากที่จะปฏิเสธ  สถิติย้อนหลัง: ธันวาคมคือหนึ่งในเดือนที่แข็งแกร่งที่สุดของตลาด  1. ผลตอบแทนเฉลี่ย +1.3% นับตั้งแต่ปี 1927  ทำให้ธันวาคมเป็นเดือนที่แกร่งที่สุดเดือนหนึ่งของปี ชนะกันยายนที่มักจะแย่ที่สุดแบบขาดลอย  2. โอกาสชนะสูงถึง 72.5% เกือบ 3 ใน 4 ของเดือนธันวาคมในอดีต จบลงด้วยการปิดบวก (เขียว)  นี่คืออัตราการชนะที่สูงที่สุดเมื่อเทียบกับเดือนอื่นๆ โดยเกือบ 3 ใน 4 ของเดือนธันวาคมปิดตลาดในแดนเขียว  นี่คือเหตุผลที่เทรดเดอร์ชอบพูดว่า: “เมื่อซานต้ามาเยือนวอลล์สตรีท หุ้นก็มักจะปรับตัวขึ้น”  ทำไม Santa Claus Rally ถึงมีความเสี่ยงในปี 2025?  ปกติแล้ว ปัจจัยฤดูกาลจะช่วยดันตลาดได้สบายๆ ตราบใดที่ไม่มีอะไรใหญ่ๆ มาขวางทาง แต่ปีนี้มี “ก้อนหินก้อนใหญ่” ขวางอยู่  นั่นคือ “ประชุมเฟด 11 ธันวาคม”  ตลาดไม่ได้แค่จับตามอง แต่กำลัง “กลั้นหายใจ” ลุ้นตัวโก่ง  ทำไมเฟดถึงคุมเกมรอบนี้:  1. ลดดอกเบี้ย vs คงดอกเบี้ย : สถาการณ์ตลาดขึ้นอยู่กับสิ่งนี้   ถ้าเฟดส่งสัญญาณว่าจะลดดอกเบี้ยต้นปี 2026 สินทรัพย์เสี่ยงจะพุ่งทยานแน่ๆ (คอนเฟิร์ม Rally)   แต่ถ้าเฟดมาสายแข็ง (Hawkish) เตือนเรื่องเงินเฟ้อ การแรลลี่อาจกลายเป็นการเทขายหนีตายแทน  2. นักลงทุนต้องการความชัดเจน  หุ้นที่ขึ้นมาตอนนี้ยังดู “กล้าๆ กลัวๆ” ถ้าเฟดให้สัญญาณ “ไปต่อ” เงินที่รอนอกสนามจะไหลกลับเข้ามาทันที  3. Bond yields คือตัวกำหนด  yields ต่ำ = หุ้นวิ่ง   yields สูง = กดดันหุ้นเทคและสินทรัพย์เสี่ยง   ซึ่งคำพูดเฟดจะสั่งซ้ายหันขวาหันให้ยีลด์ได้ทันที  ตลาดต้องการอะไรจากเฟด เพื่อฉลองให้กับ Rally?  เพื่อให้กราฟพุ่งรับปีใหม่ นักลงทุนขอแค่:  1. โทนที่ผ่อนคลาย  แค่ยืนยันว่า “ขาขึ้นดอกเบี้ยจบแล้ว” ก็พอใจแล้ว  2. คลายกังวลเงินเฟ้อ  ถ้าเฟดมองว่าเงินเฟ้อลงอย่างยั่งยืน ตลาดจะกล้าลุย  […]